ในอดีต คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเปลี่ยนงานหรือย้ายงานเมื่อรู้สึกว่าไม่พอใจกับที่ทำงานเดิม ไม่ว่าจะด้วยเรื่องเงินเดือน บรรยากาศ หรือโอกาสเติบโต แต่ในยุคปัจจุบัน การย้ายงานกลับกลายเป็นเรื่องที่ “ยาก” กว่าเดิมมาก ทั้งสำหรับพนักงาน และผู้หางานหน้าใหม่
เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ทำให้บริษัทระมัดระวัง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งโควิด สงคราม และปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้หลายองค์กรเริ่มบริหารต้นทุนอย่างเข้มงวด การเปิดรับพนักงานใหม่จึงต้องคิดให้รอบคอบ บริษัทบางแห่งเลือกใช้ฟรีแลนซ์หรือจ้างชั่วคราวแทน เพราะความเสี่ยงต่ำกว่า
การแข่งขันสูง แม้ตำแหน่งจะน้อยลง
ในบางสายงาน ผู้สมัครมีจำนวนมากกว่าตำแหน่งที่เปิดรับหลายเท่า แม้จะมีคุณสมบัติครบ แต่ก็อาจไม่ได้รับการเรียกสัมภาษณ์ เพราะบริษัทมีตัวเลือกมากขึ้น และสามารถเลือกคนที่ “ตรงเป๊ะ” ได้ทันที
เทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ทักษะที่เคยใช้ได้ อาจไม่พอ
โลกของการทำงานเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะสายเทคโนโลยีหรือดิจิทัล ทักษะที่เคยใช้ได้ดีเมื่อไม่กี่ปีก่อน อาจล้าสมัยไปแล้ว ผู้หางานจึงต้องเรียนรู้และปรับตัวตลอดเวลา ไม่งั้นจะกลายเป็นคนตกขบวน
ความกลัวความไม่แน่นอน
หลายคนอยากเปลี่ยนงาน แต่ติดที่ “กลัว” ว่างานใหม่จะไม่ดีเท่าที่เดิม กลัวว่าวัฒนธรรมองค์กรไม่เหมาะ หรือกลัวว่าช่วงทดลองงานจะไม่ผ่าน ความเสี่ยงเหล่านี้ทำให้หลายคนเลือกที่จะอยู่ใน “Comfort Zone” ต่อไป แม้จะไม่มีความสุขนัก
ระบบสรรหาที่ซับซ้อนขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทส่วนใหญ่มีระบบคัดกรองที่เข้มงวด ทั้ง ATS (Applicant Tracking System) การทดสอบเชิงเทคนิค และหลายรอบสัมภาษณ์ ทำให้การสมัครงาน 1 ตำแหน่งใช้เวลาและพลังงานมากขึ้น โดยไม่มีการการันตีว่าจะได้งาน
บทสรุป
การย้ายงานในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนในอดีต ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจ การแข่งขัน และระบบคัดกรองที่เข้มข้นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเป้าหมายที่ชัดเจน และเตรียมตัวให้พร้อม ก็ยังมีโอกาสเสมอ เพียงแต่ต้องมีความอดทน และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ